ตอนที่ 1 แปดร้อยปีหลัง
“ฉือเหยา! ข้ารักเจ้า เหตุใดเจ้าถึงต้องฆ่าข้า?”
จางรั่วเฉินตะโกนออกมา
มุ่งไปข้างหน้า จนเตียงนอนเกิดเสีย เอี๊ยด!ขึ้นมาจากการลุกขึ้นมาทันทีของเขา
เมื่อพบว่าเป็นเพียงความฝัน
จางรั่วเฉินถึงได้ถอนหายใจออกมา เขาใช้แขนเสื้ออเช็ดเม็ดเหงื่อที่ไหลบนหน้าผากจนแห้ง
“ไม่”
นั่นไม่ใช่ความฝัน
เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและฉือเหยา
จะเป็นเพียงแค่ความฝันได้เช่นไร?
จางรั่วเฉิน (张若尘)
เป็นราชโอรสเพียงพระองค์เดียวของสมเด็จพระจักรพรรดิหมิง (明帝)
หนึ่งในเก้าจักรพรรดิแห่งโลกคุนหลุน ด้วยพระวรกายที่พิเศษ คราพระชนมายุเพียง 16
ชันษา ก็สามารถฝึกยุทธ์ถึงระดับเทียนจี๋ชั้นมหาสมบูรณ์ (天极境大圆满)
ทว่า ขณะเขากำลังเป็นอันดับหนึ่งแห่งยอดยุวชนผู้กล้า
กลับถูกสังหารด้วยน้ำมือเจ้าหญิงฉือเหยาของคู่หมั้นของเขาเอง
เจ้าหญิงฉือเหยา (池瑶公主)
เป็นราชบุตรีในสมเด็จพระจักรพรรดิชิง (青帝)
หนึ่งในเก้าจักรพรรดิโลกคุนหลุน
ด้วยสัมพันธไมตรีอันดียิ่งของจักรพรรดิชิงและจักรพรรดิหมิง
ทำให้จางรั่วเฉินและฉือเหยาจะต้องเสกสมรสเป็นแน่แท้ เจริญเติบโตด้วยกัน
ฝึกวิชาด้วยกัน ผู้หนึ่งองอาจสง่าผ่าเผย ผู้หนึ่งสวยงามอรชร เรียกได้ว่าสมดังกิ่งทองใบหยก
สามารถเป็นคำเล่าลือในโลกของการฝึกฝนวิชา
จางรั่วเฉินไฉนเลยจะคิดว่า
ฉือเหยาจะทำร้ายเขาได้
หลังจากสิ้นชีวิตภายใต้เงื้อมมือขององค์หยิงฉือเหยา
จางรั่วเฉินได้ฟื้นขึ้นอีกครั้ง แต่กลับพบว่าระยะผ่านไปแปดร้อยปีแล้ว
หลังจากจลาจลเก้าจักรพรรดิสงบลง อดีตเจ้าหญิงฉือเหยา
ได้รวมเก้าอาณาจักรเป็นเป็นหนึ่ง สถาปนาจักรวรรดิกลาง (第一中央帝国)ขึ้น
เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลกคุนหลุน พระนามว่า
“สมเด็จพระจักรพรรดินีฉือเหยา (池瑶女皇)”
อดีตเก้าจักรพรรดิผู้องอาจแห่งโลกคุนหลุนแปดร้อยปีก่อน
ได้กลายเป็นเพียงอดีต อันตรธานหายไปในสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์
เก้าจักรพรรดิสิ้นไป คงไว้เพียงแต่จักรพรรดินี
ในยุคนี้
มีเพียงจักรพรรดิพระองค์เดียวคือ จักรพรรดินีฉือเหยา ปกครองใต้หล้า พระปรีชาคุมแปดทิศ
“เหตุใดนางจึงฆ่าข้า จิตใจนางทำไมถึงโหดร้ายปานนี้
หรือจิตใจของสตรีล้วนโหดร้ายดุจเดียวกัน?”
สายตาของจางรั่วเฉินเฉียบคม
จิตใจหนักอึ้งดุจเหล็กกล้าทั่วทั้งกายาเต็มไปด้วยคำถาม ทว่าหาได้มีผู้ใดสามารถสามารถให้คำตอบเขาได้เลย
แปดร้อยปีผ่านไป หลายสิ่งหลายอย่างแปรเปลี่ยนผันไป
นอกเสียจากจักรพรรดินีฉือเหยาที่ยังคงความสาวไว้ไม่ผันแปร ไม่แก่ไม่ตาย
ศัตรูคู่อาฆาตร้ายล้วนกลายเป็นเศษธุลี หรือเหลือแต่เพียงกระดูก
แม้แต่เก้าจักรพรรดิผู้ปกครองใต้หล้าครานั้น
ก็ล้วนหายไปจากโลกมนุษย์ เหลือเพียงตำนานที่เล่าขานถึงความรุ่งโรจน์ในอดีต
เอี๊ยด...
หญิงร่างกายอรชรนุ่งชุดสตรีในวัง
ผลักประตูจากด้านนอกเดินเข้ามานั่งลงบนเตียงที่จางรั่วเฉินนอนอยู่มองด้วยสายตาอันห่วงใย
“ลูกเฉิน ฝันร้ายอีกแล้วหรือลูก”
หญิงผู้งดงามตรงหน้า คือ
พระสนมในราชาแห่งนครอู๋อวิ๋น (武云郡国 : นครยุทธเมฆา)
และเป็นแม่ของจางรั่วเฉิน “พระสนมหลิน(林妃)”
เจ้าของร่างกายคนเดิม เพราะร่างกายอ่อนแอ
โรคร้ายรุมเร้าได้ตายไปเมื่อสามวันก่อนแล้ว
หลังจากจางรั่วเฉินถูกเจ้าหญิงฉือเหยาฆ่าตาย
ฟื้นคืนชีพมาในร่างกายนี้ ทำให้หนุ่มน้อยเจ้าของร่างกายที่ตายไปได้กลับมีชีวิตอีกครั้ง
และยิ่งบังเอิญกว่านั้นคือเจ้าของร่างกายก็มีชื่อว่าจางรั่วเฉินเช่นกัน
เมื่อจางรั่วเฉินเพิ่งตื่นขึ้น ยังไม่ใกล้ชิดสนมหลิน
อันที่จริงสนมหลินก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น
แต่ทว่า จากการใกล้ชิดตลอดสามวันที่ผ่านมา
จางรั่วเฉินค่อยๆพบว่า สนมหลินมีความห่วงใยเขาเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นจางรั่วเฉินตื่นจากฝันร้าย หรือได้รับอากาศหนาว นางก็รีบเขามาในห้องของเขา
ในชาติที่แล้ว
จางรั่วเฉินไม่เคยเห็นแม่ของเขา ตั้งแต่เขาเกิด แม่ของเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว
คาดไม่ถึงเลยว่า หลังจากถูกฉือเหยาฆ่า ฟื้นคืนชีพในร่างนี้ทำให้มีแม่เพิ่ม
ได้รับความอบอุ่นจากแม่
“นางอาจจะยังไม่รู้ว่าลูกเฉินของนางได้ป่วยตายไปเมื่อสามวันก่อน”
หากบอกเรื่องนี้ไป นางคงรับข่าวร้ายนี้ไม่ได้แน่ๆ
จางรั่วเฉินมองที่นาง
สายตาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและยิ้มขึ้นมา “ท่านแม่ ไม่ต้องห่วงหรอก มันเป็นเพียงความฝันแค่นั้นเอง”
สนมหลินนั่งลงที่ข้างเตียงจางรั่วเฉินแล้วลูบหัวจางรั่วเฉิน
“ผ่านมาสามคืนแล้ว เจ้ามักจะตกใจจากฝันร้าย ทุกครั้งเรียกชื่อ ฉือเหยาทุกครั้ง นางเป็นใครกัน”
หลังรวบรวมแผ่นดินสถาปนาจักรวรรดิกลางแล้ว ได้เฉลิมพระนามเป็น สมเด็จพระจักรพรรดินีต้าเวยต้าเต๋อ(大威大德女皇)
ไม่มีใครกล้าเรียก “ฉือเหยา” สองคำนี้ ด้วยกลัวว่าจะหลบหลู่และเกรงพระราชอาญา
“ไม่มีอะไรหรอกท่านแม่
ท่านฟังผิดแล้วล่ะ”
สนมหลินถอนหายใจ กล่าวว่า
“หลังจากวันนี้ไปอย่าได้เรียกสองคำนี้ตรงๆเป็นอันขาด เกรงว่าแม้แต่ในฝันก้ไม่ได้
นั้นคือการลบหลู่สมเด็จพระจักรพรรดินี การเรียกชื่อพระองค์ตรงๆเป็นการไม่เคารพอย่างยิ่ง
หากคนถ่อยได้ยินเข้า อาจจะรักษาชีวิตไม่ได้ ”
จางรัวเฉินผงกหัว
กุมมือและทำท่าอย่างเข้าใจเป็นอย่างดี “ไม่เด็ดขาดแล้ว ตั้งแต่นี้ไป...”
ตั้งแต่นี้ไป
ข้าคือฝันร้ายของนาง
สนมหลินร่างกายอ่อนแอ
ใบหน้าที่ขาวซีของจางรั่วเฉิน ทอดถอนหายใจ ภายในจิตใจเจ็บปวดอย่างยิ่ง
แม้ว่าเกิดในราชสกุลเจ้านคร
แต่เขากลับร่างกายอ่อนแอโรคภัยรุมเร้า อายุสิบหกปีแล้ว ยังนอนอยู่บนเตียง เกรงว่าตลอดชีวิตคงต้องป็นอย่างนี้
ด้านนอก มีเสียงฝีเท้าเดินมาอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าทำอะไร ที่นี่คือตำหนักอวี้ซู่
ใครบังอาจให้พวกเจ้าบุกรุกได้ตามใจชอบ” สาวรับใช้ผู้มีใบหน้างดงามผู้หนึ่ง
คิดที่จะขวางองค์ชายแปดที่บุกรุกเข้ามา แต่กลับถูกองค์ชายแปดผลักล้มไประยะสิบกว่าเมตร
องค์ชายแปดเป้นักยุทธ์ผู้หนึ่ง
ฝึกฝนจนถึงระดับหวงจี๋ชั้นปลาย เพียงปะทะฝ่ามือเดียว สามารถผลักหินหนักสามร้อยจินไปไกลถึงสิบจั้ง
นับประสาอะไรกับสาวใช้แค่ร้อยจั้ง
เพียงแค่ดีดมือไป
ก็สามารถทำให้นางปลิวไปได้แล้ว
หญิงสาวใช้ร้องอย่างเจ็บปวด
ถูกผลักล้มลงอย่างหนักจนแขนซ้ายหนัก
องค์ชายสวมอาภรณ์สีทอง สวมเข็มขัดหยก ร่างกายแข็งแรงกำยำ เดินเข้ามาตำหนักอวี้ซู่ด้วยฝีเท้าที่หนัก
มองสาวใช้คนนั้นด้วยสายตาอันเยือกเย็น แค่ทาสคนนึง ริอาจจะมาขวางข้า หาที่ตายจริงๆ
ด้านหลังขององค์ชายแปดมีองครักษ์สวมชุดเกราะเกร็ดกิเลนอยู่หกคน
ร่างกายกำยำล่ำสัน แสดงถึงเป็นนักยุทธ์ที่มีฝีมือการต่อสู้สูง
สังกัดองครักษ์พิทักษ์ราชวัง
สนมหลินได้ยินข้างนอกสงบลง ปลอบอารมณ์จางรั่วเฉินแล้ว
จึงปิดประตู เนออกไปข้างนอก นางจ้องที่องค์ชายแปดที่ยืนอยู่ข้างนอก ขมวดคิ้วเล็กๆ
แล้วพูดว่า “องค์ชายแปด ที่นี่คือตำหนักอวี้ชิง แม้ท่านจะเป็นองค์ชาย
ก็ไม่สามารถบุกรุกได้นะ”
องค์ชายแปดจางจี้เงยหน้าจ้องมองสนมหลิน
แล้วพูดว่า “องค์ราชินีมีพระราชเสาวนีย์ ที่พำนักของพระสนมหลินและน้องเก้า
ให้ไปตำหนักบริวารจื่ออี๋ นับแต่นี้เจ้าของตำหนักอวี้ชิง คือข้าและพระสนมซู่แม่ข้าแทน”
สีหน้าพระสนมหลินค่อยๆเปลี่ยนไป
นางคาดไว้แล้วต้องมีวันนี้ แต่ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้
สนมหลินยิ้ม “องค์ราชินีรีบขับเราแม่ลูกออกจากอวี้ซู่เร็วขนาดนี้หรือ
เอาเถิด พรุ่งนี้ ข้าจะย้ายไป”
องค์ชายแปด
“ต้องขอโทษด้วยนะ ท่านแม่กล่าวแล้ว วันนี้จะเข้ามาตำหนักอวี้ซู่
เชิญสนมหลินย้ายไปตอนนี้เลย”
สนมหลินรู้ว่าจางรั่วเฉินอ่อนแอ
จึงใช้น้ำเสียงอ้อนวอน “องค์ชายแปด ท่านก็รู้ว่าน้องเก้าร่างกายอ่อนแอ นี่ก็ดึกมากแล้ว
สภาพอากาศหนาวเย็น อาจจะ...”
องค์ชายแปดหัวเราะอย่างเลือดเย็น
กล่าวโดยไม่เกรงใจแต่น้อยว่า “พระสนม โลกนี้คนน่าสงสารเยอะมากแล้ว แต่
มิใช่ทุกคนควรค่าแก่การสงสาร ในเมื่อน้องเก้าโรคภัยรุมเร้า
งั้นจะอยู่ในโลกไปเพื่ออะไรกัน”
“เขาเป็นน้องเก้าของท่านนะ”
สนมหลินกำลังจะพูดต่อ
แต่ทันใดก็ได้ยินเสียงถูกผลักขึ้น
จางรั่วเฉินร่างกายอ่อนแอ
ใช้มือกุมเสาประตูถึงบังคับลุกขึ้นได้ จ้องมอองค์ชายแปดที่อยู่ห่างออกไป
เขาร่างกายไม่แข็งแรง แต่แฝงด้วยปณิธาน “อย่าขอร้องพวกเขาเลย
พวกเราย้ายไปตอนนี้เถอะ”
“ลูกเฉิน ทำไมลุกออกจากเตียงแล้ว
ข้างนอกอากาศหนาวเย็น ยังไม่รีบลับไปอีก” สนมหลินรีบไปประคองจางรั่วเฉิน
กลัวว่าจะถูกลมหนาว
จางรั่วเฉินส่ายหน้า
“ท่านแม่ พวกเราไม่จำเป็นต้องอ้อนวอนผู้ใด
ช้าเร็วซักวัน...พวกเราจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง”
สนมหลินมองสายตาอันแน่วแน่ของจางรั่วเฉิน
เหมือนกับรับรู้ความรู้สึกของจางรั่วเฉิน นางผงกหัวตอบรับพร้อมน้ำตาที่ซึมออกมา
สนมหลินประคองจางรั่วเฉิน
ก้าวแล้วก้าวเล่าออกจากตำหนักอวี้ซู่ นอกจากสาวใช้ที่โดนผลักจนแขนหัก
คนรับใช้คนอื่น ล้วนไม่ได้ติดตามมาเลย
ทุกคนเห็นว่า
สนมหลินและองค์ชายเก้าได้สูญเสียอำนาจแล้ว จะกลับคืนสู่อำนาจในวังเจ้านครเป็นการยากยิ่ง
ในเมื่อเป็นคนรับใช้ตำหนักอวี้ซู่ย่อมที่จะเลือกอยู่ตำหนักอวี้ซู่ต่อไป
ยอมรับองค์ชายแปดเป็นผู้ปกครองตำหนักคนใหม่
ตำหนักบริวารจื่ออี๋ ไม่เหมือนกับสถานที่พำนักของพระสนม ห่างไกลผู้คน
ใบไม้หล่นเต็มพื้น ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่มานานแล้ว
ดึกมากแล้ว สายลมหนาวพัดอย่างแรง
จางรั่วเฉินร่างกายซูบผอม
นั่งอยู่บนเก้าอี้หิน สวมเสื้อนอกทับ แต่กระนั้นยังคงรู้สึกหนาวอยู่
“ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป
มีเพียงฝึกยุทธ์ถึงจะทำให้ร่างกายแข็งแรงได้
ไม่อย่างนั้นถึงแม้จะเป็นโอรสเจ้าผู้ครองนคร ยังคงถูกคนอื่นรังแกอยู่ดี”
แปดร้อยปีก่อน
จางรั่วเฉินก็ไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน ในเมื่อฟื้นคืนชีพในร่างนี้
ไม่ว่าจะแก้แค้นฉือเหยา หรือเพื่อแม่ จะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้
วันนี้ถูกเหยียดหยาม
เพราะตนร่างกายอ่อนแอเกินไป ไร้หนทางสู้ ไร้หนทางควบคุมชะตาชีวิตตนเอง
ถึงกระทั่งที่อยู่ขงตนเองก็ถูกคนอื่นแย่งชิงไป
ต้องการให้ผู้อ่นเคารพให้เกียรติ
ต้องกรได้รับอบอุ่นมีสภาพแวดล้อมที่พักที่สะดวกสบาย
ก็ต้องเป็นนักยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงพิสูจน์ตนเอง
ในโลกคุนหลุน
ต้องการเป็นนักยุทธ์จะต้องเปิดจุด “ยันต์เทพยุทธ์ (神武印记)”
ยันต์เทพยุทธ์เป็นสิ่งที่เทพประทานให้มนุษย์ผู้มีคุณสมบัติเป็นนักยุทธ์
ผู้ที่ไม่ได้เปิดจุด ยันต์เทพยุทธ์ ไม่สามารถฝึกวิชาได้ตลอดไป
ไร้หนทางเป็นผู้แข็งแกร่งในแผ่นดินได้
จางรั่วเฉินอายุสิบหกแล้ว
แต่ยังไม่เปิดจุด ยันต์เทพยุทธ์เลย
ผ่านมาแล้วสิบหกปี พลาดโอกาสช่วงอายุที่ดีที่สุดในการฝึกยุทธ์
แม้ปิดจุดยันต์เทพยุทธ์ ก็ไม่มีประโยชน์อันใดมากเลย
โอรสของเจ้านครอู่อวิ๋นเหมือนกัน เหตุไฉนองค์ชายแปดถึงเป็นผู้สูงส่ง
สามมารถขับสนมหลินออกจากตำหนักอวี้ซู่ได้ นั่นเพราะ เมื่ออายุสิบขวบ องค์ชายแปดเปิดจุดยันต์เทพยุทธ์
ตอนนี้เป็นนักยุทธ์หนุ่มระดับหวงจี๋ชั้นปลายแล้ว
“มีเพียงเปิดจุดยันต์เทพยุทธ์
ข้าก็สามสามารถฝึกคัมภีร์จิ่วเทียนหมิงตี้ (九天明帝经)
ได้ อาศัยความวิเศษแห่งคัมภีร์นี้ แม้จะพลาดโอกาสช่วงอายุฝึกวิชาที่ดีที่สุด
ก็ยังตามนักยุทธ์คนอื่นๆทันอยู่ กลับมาเป็นนักยุทธ์ผู้แข็งแกร่งได้เช่นเดิม
คัมภีร์จิ่วเทียนหมิงตี้เป็นคัมภีร์อันล้ำค่าที่จักรพรรรดิหมิงฝึกวิชา
นอกจากจักรพรรดิหมิงแล้ว มีเพียงจางรั่วเฉินผู้เดียวที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาได้ครบถ้วน
“พรุ่งนี้เป็นพิธีบูชายัญ
หวังว่าจะสามรถได้รับการยอมรับจากเทพเจ้า นำยันต์เทพยุทธ์เปิดจุดให้ข้า”
จางรั่วเฉินกุมมือ หวังเปิดจุดเทพยุทธ์อย่างกระหาย
สนมหลินจัดการห้องเรียบร้อยแล้ว
มาประคองจางรั่วเฉิน “ลูกเฉิน ลูกรีบพักผ่อนเร็วๆเถิด พรุ่งนี้ต้องเข้าร่วมพิธีบูชายัญแล้ว”
“ท่านแม่วางใจเถิด
พรุ่งนี้ข้าสามารถไปร่วมเปิดจุดยันต์เทพยุทธ์ได้แน่นอน”
“อืม แม่เชื่อลูกจ้ะ”
สนมหลินมองจางรั่วเฉิน
แล้วถอนหายใจ
อันที่จริงแล้วนางไม่ได้มีความหวังที่จากรั่วเฉินเปิดจุดยันต์เทพยุทธ์แต่อย่างใด
เพราะจางรั่วเฉินอายุสิบหกปีแล้ว คงไม่สามมารถเปิดจุดยันต์เทพยุทธ์แล้ว
แต่ว่า คนเป็นแม่จะต้องให้กำลังใจและความเชื่อมั่นให้กับลูก
0 ความคิดเห็น